หากไร้ความมืดมิดยามค่ำคืนคงไม่เห็นความงามของมวลหมู่ดาว หากปราศจากความเหน็บหนาวคงไม่เห็นค่าของสัมผัสที่อบอุ่น ซึ่งในบางครั้งสิ่งที่รออยู่หลังความมืดมิด คือความมืดหม่นยิ่งกว่าความหนาวที่แสนทรมานและก็ไม่ได้ตรงข้ามกับความอบอุ่นเสมอไป
รัตติกาลยามค่ำคืนประหนึ่งดั่งอารมณ์อีกด้านของความรู้สึก มักจะมาเยือนพร้อมกับความเหงา ความเศร้า เดียวดาย ซึ่งสาดส่องแสงด้วยจันทราครึ่งดวงดั่งการย้อนภาพอดีต ตีตรวนตอกย้ำหัวใจด้วยความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน
ซึ่งในบางครั้งความมืดที่ซื่อสัตย์ งดงามมากกว่าแสงสว่างบางแสงที่ทำให้เราหลงอยู่กับภาพลวงตาในความจริง ความเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งของหัวใจท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาล ซึ่งความรัก และแสงแห่งจันทราราตรี เป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนยามเหงา เเต่เป็นถึงเงาของชีวิตของใครหลายๆคน ที่สะท้อนถึงก้นบึงแห่งอารมณ์ ที่ลึกสุดใจ
ซึ่งเมื่อมองพระจันทร์เพียงเสี้ยวดั่งการรอคอยบางสิ่งบางอย่างเพื่อการเติมเต็ม สะท้อนออกมาในหลายๆอารมณ์ โดยมีความมืดของรัตติกาลเป็นตัวตอกย้ำให้ความหมายในการรอคอยชัดเจนยิ่งขึ้น อารมณ์ยามย่ำรัตติกาลมาเยือนนั้น ย่อมต้องเป็นสิ่งที่เคยคาดหวังในหัวใจแห่งรัก แต่ด้วยหลายๆเหตุผลของคนสองคนที่มากเกินกว่าความรักจะมีที่อาศัยอยู่ ย่อมต้องเกิดความเปล่าในวันที่รักร้างลา ซึ่งก็คงมีเพียงคนใดคนหนึ่งที่ยังติดอยู่ในจันทร์ครึ่งเสี้ยว
เพราะคนเราทุกคนต่างต้องมีทางและเหตุผลของตน ซึ่งไม่มีใครพกพาใครไปด้วยกันได้ มันคงเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผ่านเข้ามา ดั่งเช่นหลายๆความรักของหลายๆคน เป็นการร่ำราที่ไร้ซึ่งการแสดงออก หยดน้ำตาที่ร่วงหล่นในค่ำคืนที่มืดมิด มันก็คงช่วยให้หัวใจอบอุ่นขึ้นมาอีกนิด ซึ่งในหลายๆคน ไขว่คว้าที่จะกลับไปยังที่เดิม ที่ๆเคยมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงทั้งสองคน แต่สุดท้ายก็พบเพียงความว่างเปล่า
ซึ่งความรักที่เคยมีอยู่กับมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ หลงเหลือไว้เพียงความอบอุ่นจางๆ ที่ถูกทอดทิ้งไว้เท่านั้น
ย่อมต้องอาลัยและเคว้งคว้างเหมือนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของความรู้สึกในสิ่งดีๆ อาจจะเป็นที่โลกมีความมืด เพื่อที่จะรอคอยความสว่าง อาจจะมีจันทร์เพียงครึ่งเพื่อรอการเติมเต็มในอีกวันข้างหน้า คงทำได้แค่เพียงยังศรัทธาในความรักและเฝ้ารอคอยอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป
การรอคอยและค้นหาจะมีค่าพอ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่รอคอยมีค่ามากพอ การทิ้งสัมผัสแห่งรักในวันวานไว้ ณ.ที่เดิม ในที่ๆมืดมิดในซอกหนึ่งซอกใดของความรู้สึก หลายๆคนก็ยังมั่นใจในสิ่งที่รับรู้ได้ว่ามันมีอยู่จริงมีตัวตนทั้งในความฝันและยามตื่น ซึ่งต่อให้มีแสงสว่างเจิดจ้าสักเท่าใดก็มิอาจตอบในสิ่งที่เฝ้ารอได้
เพราะหลายๆคนพอจะรู้ว่าอยู่ ณ.ที่ใด แม้ความมืดมิดจะบดบัง จันทร์อีกครึ่งคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองสำคัญเพียงใดซึ่งยามมองพระจันทร์คราวใด อยากให้คนอีกครึ่งหนึ่งนั้นมองกลับมา ความรักและมิตรภาพที่เคยเลือนหายก็คงดำเนินต่อไป แม้จะไม่ได้รับกลับมาก็ไม่เป็นไร เพราะพระจันทร์ในยามราตรีนั้นงดงามเมื่อใช้.....หัวใจในการเฝ้ารอ
“ยามรัตติกาลเป็นเวลาที่โลกแห่งความจริงหลับใหล และโลกแห่งความฝันก็กำลังเริ่มต้น”
หนึ่งในบทความทรงจำ 2540
กวี บทเก่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น