ห่างหายจากการที่นาย Holden มาชวนดูหนังไปนาน ไม่ใช่เพราะอะไรครับ เพราะปกติผมอยากเขียนชวนดูหนังที่กระแสไม่ค่อยแรง แต่ดีจริงๆ เพราะเรื่องไหนกระแสแรงมันมีคนเชียร์อยู่แล้ว แล้วช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ดูหนังดีแต่ไม่มีกระแสช่วยเลยครับ แต่กับเรื่องนี้ขอนิดนึงนะครับ เพราะแม้ว่ากระแสจะแรงแบบไปไหนไม่มีใครไม่พูดถึง แต่ขอเถอะ ขอเขียนถึงซักหน่อย
จำได้ว่าเมื่อประมาณปลายปีที่แล้วได้ดูข่าวบันเทิงผ่านๆเห็นงานบวงสรวงกองถ่ายก็รู้สึกอยากดูเรื่องนี้มาทันที เพราะเห็นทั้งคุณสินจัย คุณกบ แล้วไหนจะผู้กำกับมะเดี่ยวที่ทำหนังมา 2 เรื่อง ผมรักมันทั้ง 2 เรื่องเลยอีก แล้วถ้าคุณมะเดี่ยวเปลี่ยนลองมาทำหนัง Drama ผมจะไม่อยากดูได้ไง ทีมงานชั้นยอดขนาดนั้น และที่สำคัญ คุณสินจัยให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องนี้เล่นเป็นแม่ที่มีลูกชายเป็นเกย์อีก ตอนนั้นผมคิดว่า เฮ้ย หนังไทยเอาจริงเหรอ จะมีเรื่องราวแบบนี้ในหนังไทยเหรอ จริงดิ อยากดูว่ะ
ผ่านมาปีกว่า ลืมไปแล้วว่าผมอยากดูเรื่องนี้ แล้วอยู่ๆผมก็ได้เห็นโฆษณาหนังเรื่องนี้ในนิตยสารเล่มหนึ่ง โปสเตอร์สดใสน่ารักเชียว พร้อมกับประโยคที่เค้าเขียนไว้ว่า "แล้ววันหนึ่งคุณจะรู้ว่า คุณไม่แกร่งพอที่จะอยู่บนโลกนี้คนเดียว" ผมก็อ้าว นี่มันเรื่องเดียวกับที่กรูอยากดูป่าววะ จาก Drama ครอบครัว มันกลายเป็นหนังรักไปแล้วเหรอวะ แล้วก็รู้สึกต่อต้านกับประโยคนั้น "ไม่ กรูรู้ตัว อยู่อยู่คนเดียวได้ กรูวางแผนไว้แล้วว่าชีวิตนี้กรูจะอยู่คนเดียว กรูแกร่งพอที่จะอยู่คนเดียว"
รักแห่งสยาม หนังรักที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความรัก ความคิดถึง และความเหงาที่อบอวลไปทั่วทุกวินาทีของหนัง บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงจากครอครัวสุขสันต์กลายเป็นครอบครับที่แหลกสลาย เมื่อวันหนึ่งลูกสาวของบ้านนี้ขอไปเที่ยวเชียงใหม่แล้วก็ไม่ได้เดินทางกลับบ้านอีกเลย พ่อ ผู้ชายใจดี คนที่อนุญาตให้ลูกสาวไปเที่ยวจมอยู่กับความรู้สึกผิด ทำใจไม่ได้จากการหายไปของลูกสาว ใช้เหล้าเข้ามาช่วยให้แต่ละวันผ่านไปได้ เป็นคนป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ แม่ผู้หญิงที่เข้มงวดก็เพื่อที่จะให้ครอบครัวไปในทางที่ถูกที่ควร ต้องมาทำหน้าที่ผู้นำของบ้านแทนทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่ต้องควบคุมทุกอย่างมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเธอไม่สามารถที่จะรับความสูญเสียได้อีกแล้ว และสมาชิกที่เหลือคนสุดท้ายคือ โต้ง ลูกชายของบ้านนี้
โต้ง เพื่อนเล่นของมิว เด็กชายที่ไม่เข้าใจความเป็นไปของโลกของผู้ใหญ่ เด็กที่ต้องจมอยู่กับความเหงาและการไม่มีใคร มีเพียงอาม่าเท่านั้นที่เข้าใจ มีเพียงโต้งที่เป็นเพื่อน และมีเพียงเสียงดนตรีที่ทำให้เค้าผ่านแต่ละวันไปได้
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของโต้ง ทำให้ยากที่จะทำใจ ทั้งหมดตัดสินใจย้ายบ้านออกไป มิวเหลือเพียงอาม่าเท่านั้นที่เข้าใจ และเหลือเพียงดนตรีที่ทำให้เค้าผ่านแต่ละวันไปได้
เวลาผ่านไป อาม่าจากไป มิวเหลือเพียงดนตรีที่ทำให้ผ่านแต่ละวันไปได้ มิวโตขึ้นและใช้ดนตรีนี่แหละสร้างความสุข สร้างมิตรภาพ และสร้างชีวิตให้ตนเอง มิวกลายเป็นเด็กชายวัยรุ่นที่มีโลกเป็นโลกของเสียงเพลง เค้าฟอร์มวงกับเพื่อนๆในโรงเรียนและทำเพลง indy ออกมา ด้วยพรสวรรค์ของเค้าทำให้เพลงนี้ดัง เป็นที่รู้จัก และจากเพลงนี้เองทำให้มิวกับโต้งได้มาเจอกันอีกครั้ง
โต้งโตขึ้นมาเป็นเด็กชายหน้าตาดี อยู่ในกรอบที่ควรจะเป็น เรียนที่โรงเรียน เตะบอล เลิกเรียนแล้วก็ไปเรียนพิเศษที่สยาม เป็นเด็กผู้ชายที่ดูเหมือนชีวิตสมบูรณ์ ไม่น่าแปลกใจที่โต้งจะมีแฟนน่ารักจนเป็นที่อิจฉาไปทั่ว แต่เรากลับเห็นว่าเหมือนมีอะไรขาดหายไปในชีวิตตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นสายตาโต้ง สิ่งนั่นคือ ความสุข และความเข้าใจ แม่ไม่เข้าใจ เพื่อนไม่เข้าใจ คนรอบข้างไม่เข้าใจ ชีวิตโต้งที่อยู่ในกรอบทั้งจากที่แม่ตั้งเอาไว้ จากเพื่อนๆและสังคมคาดหวัง เหมือนไม่ใช่ชีวิตที่โต้งต้องการ
โต้งมาหาซื้อเพลงของวงออกัสโดยที่ไม่ได้รู้ว่านั่นคือเพลงที่เพื่อนสมัยเด็กของเค้าแต่ง และโดยบังเอิญโต้ง และมิวกลับมาพบกันอีกครั้ง จากอาการเคอะเขินในตอนแรก ทั้งคู่แปรเปลี่ยนกลับเป็นความสนิทที่มีมาตั้งแต่เด็กในชั่วไม่กี่นาที มิวมีโต้งเป็นเพื่อนอีกครั้ง และมีดนตรีที่ทำให้เค้าผ่านแต่ละวันไปได้
โลกของมิวกลับมาสดใส โจทย์เพลงรักที่เค้าไม่สามารถแต่ได้ เพราะไม่เคยมีความรัก แม้จะมีหญิง เด็กสาวข้างบ้านที่แอบชอบเค้ามานานเสมอตัว เสนอใจยอมเป็นแฟน เพื่อทำให้มิวรู้จักความรัก แต่มิวก็ยังแต่เพลงรักไม่ได้ แต่เมื่อมีโต้งกลับเข้ามาในชีวิต เพลงรักเพลงแรกไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับมิว และในการซ้อมร้องเพลงนี้ครั้งแรกมิวเชิญโต้งเข้ามาฟัง แน่หล่ะมันคือการบอกความในใจครั้งที่หนึ่ง
ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นในตัวเด็กทั้ง 2 มิวกลายเป็นคนที่ไม่เหงา กลายเป็นคนมีความรัก ส่วนโต้ง เหมือนเค้าจะเจอสิ่งที่เค้าหามานาน ความเข้าใจ เหมือนมิวคือคนเดียวในโลกที่เข้าใจเค้า เค้าอยากใช้เวลาร่วมกับมิว โต้งเริ่มแหกกรอบที่วางไว้ทีละน้อยๆ เริ่มจากกรอบของแม่ ตามมาด้วยกรอบความคาดหวังของแฟนสาว
ความสัมพันธ์ของโต้งกับมิวพัฒนาขึ้น ในขณะเดียวกันโต้งได้พบกับจูน หญิงสาวปริศนา ผู้ดูแลศิลปินวงออกัส คนที่หน้าเหมือนกับแตงพี่สาวที่หายไปของโต้งอย่างน่าประหลาด โต้งคิดวิธีในการเยียวยาครอบครัวที่พังทลายให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ด้วยการให้แม่จ้างจูนเข้าไปอยู่ในบ้าน เพื่อให้พ่อรับทราบว่าลูกสาวกลับมาแล้ว ไถ่ถอนพิษของความรู้สึกผิดและสร้างกำลังใจให้พ่อมีชีวิตอยู่ต่อไป
จากเพลงรักเพลงที่หนึ่งที่ว่าเพราะแล้ว เมื่อมิวรู้ใจตัวเองและแต่งเพลงรักเพลงที่ 2 เพื่อโต้ง เค้าได้สร้างเพลงรักที่มหัศจรรย์ออกมา มันเพราะจนใครๆก็รัก และมิวใช้เพลงนี้บอกรักโต้งตรงๆที่งานต้อนรับลูกสาวกลับบ้านของบ้านโต้ง โต้งรับรู้ แม้จะมีคนในงานมากมาย แต่ทั้งคู่กลับทำเสมือนโลกนี้มีเค้าเพียง 2 คน และเมื่ออยู่กัน 2 ต่อ 2 จริงๆ ก็มาถึงเวลาของการบอกรัก ยอมรับตัวตนที่เป็นของทั้งคู่ อนาคตเหมือนจะสดใสที่เค้ามีกันและกัน แต่เวลานี้เองเป็นเวลาที่แม่ของโต้งได้มารับรู้ความจริง เธอสูญเสียลูกสาวไปแล้ว1 คน เธอไม่พร้อมจะสูญเสียอะไรอีกแล้ว เธอต้องทำอะไรบางอย่าง
เพื่อให้ลูกชายอยู่ในกรอบที่เธอเห็นควรว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะสังคมบอกว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด เธอตัดสินใจไปพูดกับมิวเพื่อยุติความสัมพันธ์ จากที่มิวมีโต้งเป็นเพื่อน จากที่มิวมีดนตรีเพื่อทำให้ผ่านในแต่ละวันไปได้ ตอนี้มิวไม่เหลือโต้ง มิวไม่สามารถร้องเพลงรักได้แล้ว มิวไม่เหลือแม้แต่ดนตรี ตอนนี้มิวไม่เหลืออะไรเลย
โต้งจากที่ในที่สุดก็มีใครซักคนที่เข้าใจเขา ตอนนี้โต้งเข้ากลับไปอยู่ในสถานะเดิมคือปราศจากคนเข้าใจ แต่ครั้งนี้มันหนักกว่าครั้งก่อนตรงที่เค้ามั่นใจด้วยว่าแม่ไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับสิ่งที่เค้าเป็น เพื่อนที่มีก็เป็นเพียงความฉาบฉวยไม่มีเพื่อนที่เข้าใจเค้าจริงๆ
ชีวิตของทั้งมิวและโต้งเริ่มจมดิ่งกับความโดดเดี่ยว อนาคตวงออกัสที่สดใสก็ต้องมามีปัญหา ครอบครัวที่เหมือนจะดีขึ้นของโต้งก็กลับพังทลายลงอีกครั้ง และครั้งนี้เหมือนมันจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
รักแห่งสยาม ถ้าผมจะบอกว่ามันคือหนังไทยที่ดีที่สุดในรอบปี และเป็นหนังไทยไม่กี่เรื่องที่ดูจบผมอยากจะยืนปรบมือให้ด้วยความจริงใจ หนังเป็นสุดยอดในทุกๆทาง ถ้าเราจะมาเริ่มที่เรื่องราว ถ้าจะมองว่ามันคือจับฉ่ายถ้วยโตก็คงได้ เพราะหนังเรื่องนี้ถ้าจะมองเป็น romantic มันก็ได้ ถ้าจะมองว่ามันคือ drama ปัญหาครอบครัวมันก็ใช่ หรือถ้าจะมองว่ามันคือ comming of age หนังการก้าวผ่านวัยของตัวนำทั้ง 2 มันก็ไม่ผิด แล้วถ้ามันจับฉ่ายขนาดนี้ ถ้าทำได้ไม่ถึง บางอย่างมากไป บางอย่างน้อยไป มันก็พร้อมจะเป็นจับฉ่ายที่เละ ชืด หวานไป หรือเค็มไป จนทั้งไม่น่ากิน แล้วก็ยังไม่อร่อยอีกด้วย แต่คุณมะเดี่ยวทำได้ครับ เค้าทำให้หนังเรื่องนี้กลมกล่อมในทุกทาง
เริ่มจากองค์ประกอบเล็กๆแต่น่าประทับใจอย่างพวกงานเทคนิคต่างๆ การถ่ายภาพ การออกแบบฉาก การตัดต่อ เสริมบรรยากาศที่ทั้งเหงา และอบอุ่นให้หนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
และนี่คือหนังที่เกี่ยวกับเพลง ถ้าเราจะไม่พูดถึงเพลงและดนตรีประกอบก็คงไม่ได้ แล้วผมก็คงจะไม่พูดอะไรมากไปกว่า แค่ออกจากโรงมาปุ๊บ วิ่งเข้าร้านซื้อ CD ปั๊บ ก็แค่นั้น
แต่ถ้าถามว่าผมชอบอะไรที่สุดในหนังก็คงเป็นบทกับการแสดง ในส่วนของบท มันเป็นบทที่สมบูรณ์และสวยงาม บทของแต่ละคนมันไม่ใช่บทพูดที่เกินเลยจากการใช้ในชีวิตจริงประหนึ่งหลุดมาจากงานวรรณกรรม หรือหวานเลี่ยนจนเกินจะรับไหว เป็นประโยคที่เรียบง่าย แต่กลับมีนัยยะแฝง และกระแทกโดนใจในเกือบทุกประโยค ถ้าถามว่าชอบบทตอนไหนที่สุด ผมคงขอยกมา 2 ตอนคือ
ตอนแรกตอนที่มิวอธิบายความเหงาให้โต้งฟัง "ความเหงาแม่งเหี้-" พร้อมกับอีกหลายประโยคตามมา บทตอนนี้ที่เหมือนหลุดมาจากหนังหว่องกาไว บทที่กระแทกมาเต็มๆตรงแผลที่ใจคนเหงา ผมได้แต่คิดว่า "เออ กรูรู้ กรูมันก็เหงา กรูรู้แล้วว่าความเหงาแม่งเหี้- มรึงไม่ต้องมาบอกกรู พอได้มั้ยพอแล้ว กรูฟังต่อไม่ได้แล้ว ความเหงาแม่งเหี้-"
กับอีกตอนก็เป็นตอนฉากการยอมรับกันและกันของแม่กับลูก ฉากง่ายๆ ประโยคง่ายๆ แต่มันแฝงไว้ด้วยความรัก ความรู้สึกผิด การต้องการให้คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเข้าใจ ตามมาด้วยประโยคที่เรียบง่าย "เลือกในสิ่งที่เห็นว่าดีที่สุด" แค่นี้ก็อธิบายอะไรๆได้แล้ว
แต่ที่ผมชอบที่สุดจริงๆก็คือการแสดง หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมทั้งจากคนที่เราคาดหวังไว้สูง แล้วก็ให้การแสดงที่ในระดับเกินคาด หรือเหล่าน้องๆในเรื่องที่ทำให้เราต้องอึ้งว่า เฮ้ยเล่นเรื่องแรกจริงเหรอ
คุณสินจัยกับบทแม่ของโต้ง ผู้หญิงที่เหมือนเข้มแข็ง นั่นก็เป็นเพราะเธอต้องปกป้องดูแลครอบครัวเธอ เป็นเสาหลักของบ้าน แต่ไม่ว่าจะเข้มแข็งเท่าไหร่ แต่ข้างในมันเห็นได้ชัดว่าเปราะบางพร้อมจะทลายได้ทุกเมื่อ คุณสินจัยผู้หญิงที่ผมยกว่าเป็นเมอรีล สตรีพเมืองไทย ด้วยการแสดงที่คล้ายกันคือไม่ได้กลืนไปกับตัวละครแต่ใช้เทคนิคการแสดงที่หลากหลายสร้างตัวละครขึ้นมา และทำให้คนดูต้องอึ้งต้องทึ่งกับการแสดงของเธอ
คุณสินจัยกระบี่มือ 1 ของวงการ มาตรฐานของเธอสูงมาก ในวันที่เล่นแย่เธอยังให้การแสดงชั้นเยี่ยม และวันนี้รักแห่งสยามคุณสินจัย top form อย่างที่สุด เธอสร้างผู้หญิงที่น่าสงสารและน่าเห็นใจที่สุดบนจอหนังในรอบปีนี้ขึ้นมา ฉากตอนตามหาลูกชายกับตอนที่เธอพูดว่า "นี่ชั้นทำผิดอะไร" นั่นคือที่สุดของที่สุดการแสดง
และถ้าผมจะบอกว่าทุกวินาทีที่คุณสินจัยขึ้นจอ คือความทรงคุณค่าของหนังเรื่องนี้คงไม่ใช่สิ่งที่เกินเลย
คุณกบทรงสิทธิ์ กับบทพ่อผู้จมดิ่งในบ่อแห่งความรู้สึกผิด ทำร้ายตัวเองจนไม่ได้รู้เลยว่านั่นคือการทำร้ายคนรอบข้างอย่างบาดลึกที่สุด ผู้ชายที่น่าเวทนาคนนี้คุณกบทำได้เยี่ยมมาก
คุณพลอย คุณพลอยทำให้ผมอึ้งมาก เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณพลอยจะเล่นได้ขนาดนี้ กับบทจูน ผู้หญิงที่เชื่อมต่อความรักของเรื่องไว้ด้วยกัน ทั้งความรักของครอบครัวโต้ง ความรักของโต้งและมิว รวมทั้งความรักของมิวและเพื่อนๆในวงออกัส คุณพลอยทำให้จูนเป็นผู้หญิงที่ใครอยู่ด้วยแล้วต้องรู้สึกดี เราจะรู้สึกได้ถึงรัศมีความสุขที่อยู่รอบกายคุณพลอยในเรื่องนี้ เธอคือเสน่ห์ของเรื่องนี้ครับ
ส่วนน้อง 4 คนก็ทำให้ผมประหลาดใจเช่นกัน
เริ่มจากน้องคนที่เล่นเป็นโดนัท น่าสงสารที่ได้ออกมาไม่มาก และก็ไม่ได้มีพัฒนาการอะไรกับเค้า แต่ในส่วนที่เธอต้องเป็น คือ ผู้หญิงสวยแต่ไร้เสน่ห์ ผู้หญิงน่ารักแต่งี่เง่าที่เราสามารถเห็นได้บ่อยในสยาม เธอทำได้ค่อนข้างดีจนผมคิดว่า ถ้าต้องมีแฟนเป็นผู้หญิงงี่เง่าอย่างเธอเป็นกรู กรูก็เอาผู้ชายวะ
น้องคนที่เล่นเป็น หญิง น้องครับ อนาคตน้องไกลมากๆแน่ นี่คือตัวละครที่มีพัฒนาการที่สุดในเรื่อง จากผู้หญิงที่ดูเหมือนไร้สาระ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องยอมรับ ตัดสินใจ เธอกลายเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและกล้าหาญ แต่ขณะเดียวกันก็ยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกของผู้แพ้ที่ยังอยากให้คนที่ตัวเองรักมีความสุขได้อย่างยอดเยี่ยม
น้องหญิงให้ทั้งความสุข ความน่ารัก ตลกขบขัน จนไปถึงน่าสงสารได้อย่างน่าประหลาดสำหรับคนที่ประสบการณ์ยังน้อยอย่างนี้ นี่คือตัวละครที่ผมชอบที่สุดในหนัง ฉากสุดท้ายของเธอที่ในที่สุดมันทั้งหมดของเธอมันออกมาโดยไม่ต้องพูดอะไร คืออีกฉากที่ผมชอบครับ
มาริโอ้ กับบทของโต้ง หน้าตาดีอ่ะใช่ แต่เสน่ห์ที่โต้งได้มาจากมาริโอ้ไม่ได้มาจากความหล่อ แต่มาจากที่รู้สึกเหมือนเด็กคนนี้คือคนธรรมดาที่เราจับต้องได้ เสียงใสๆ หน้าตาที่ดูซื่อๆ งงๆ ทำอะไรไม่ถูก รวมทั้งบทที่แทบไม่ได้แสดงอะไร อาจจะเหมือนเค้าเรียบเฉยไม่แสดงอะไรออกมา แต่ไม่ครับ ความเยี่ยมของมาริโอ้ไม่ได้อยู่ที่การแสดงท่าทางและสีหน้า เด็กคนนี้พูดทุกอย่างผ่านสายตาดำสนิทคู่นั้น
ดวงตาที่เรียบเฉยแต่ดูสับสนตลอดเวลา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความยำเกรง แต่แฝงความรักเต็มเปี่ยมเวลาที่อยู่กับแม่ (เวลามาริโอ้เข้าฉากกับคุณสินจัย ทั้งคู่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่สื่อถึงกันอย่างน่าประหลาด บางคนก็เรียกเคมีของทั้ง2 นักแสดงที่ทำให้ผมเชื่อสนิทใจว่าเค้าคือแม่ลูกคู่ที่ผ่านอะไรหลายอย่างมาด้วยกัน มาคิดทบทวนทีหลัง เฮ้ยมันมาจากสายตาของมาริโอ้นี่เอง) แววตาที่เหมือนสดใสแต่คอยมองหาอะไรบางอย่างเวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อน แววตาที่ไร้ความรู้สึกเวลาที่อยู่กับแฟน ไปจนถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความรักเวลาที่อยู่กับมิว
แม้ว่าเหมือนจะไม่ได้แสดงอะไรเลย แต่จริงๆแล้วมีหลากหลายอารมณ์มากกับสายตาคู่นั้น ส่วนตัวแล้วผมชอบการแสดงที่บอกเล่าเรื่องราว ความรู้สึกทางสายตาที่สุด เพราะฉะนั้นผมยิ่งอึ้งกับการแสดงของมาริโอ้ ถ้าคุณสินจัยทำให้ผมทึ่งกับการก้าวข้ามมาตรฐานที่สูงมากๆของเธอไปอีกขั้นของการแสดง มาริโอ้ก็ทำให้ผมทึ่งว่าคุณแสดงอารมณ์ที่หลากหลายขนาดนั้นผ่านสายตาคู่นั้นได้ยังไง
น้องพิช กับบทมิว ที่ถ้าเทียบแล้วมีฉากให้แสดงทางอารมณ์มากกว่าคนอื่นๆมากมาย แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความเหงา ความเศร้า ความรัก แค่นั้นเอง ถ้าถามว่าน้องพิชเล่นได้ดีมั้ย ผมตอบได้เลยว่าดีมาก เพียงแต่ว่าโอกาสที่ได้แสดงให้มากกลับกั้นให้น้องเล่นแค่ไม่กี่อย่าง จนผมนั่นคิด "น้องครับ น้องจะ drama ไปถึงไหนครบ" คือเล่นได้ดีนะครับ เพียงแต่ว่าบทที่เหมือนเปิดโอกาสจริงๆแล้วกลับปิดกั้นโอกาสทางการแสดงในเรื่องนี้ซะงั้น
จนมาถึงฉากสุดท้ายของเรื่องแหละครับ เมื่อไอ้ drama ของน้องมันมาถึงขีดสุด ความเยี่ยมในฉากนี้และเป็นฉากสุดท้ายของหนัง การแสดงของน้องในฉากนี้มันทำให้ความรู้สึกตั้งแต่วินาทีแรกจนวินาทีสุดท้ายของหนัง ความรัก ความอบอุ่น และความเหงาทั้งหมด มันขมวดรวมกันและฝังลงตรงใจคนดูทันที จนออกจากโรงแล้วอารมณ์ของฉากนี้ และเรื่องราวทั้งหมดมันไม่สามารถสลัดหลุดออกไปได้
รักแห่งสยามสำหรับผมแล้ว มันคงเป็นเหมือนการเข้าไปเลือกซื้อช็อคโกแลตซักกล่อง เลือกมาได้กล่องนึงสีสันสวยงาม แต่พอได้แกะแล้วกัดคำแรกลงไปกลับพบว่ามันคือ dark chocolate ที่ไม่ได้ผสมนม เติมน้ำตาล ขมน่ะใช่ แต่นี่มันคือรสชาติอย่างที่ช็อคโกแลตจริงๆควรจะเป็น ไม่ใช่ใส่นมจะมันเลี่ยน หรือเติมน้ำตาลจนหวานแสบคอ รักแห่งสยาม ของหวานที่ขมแต่อร่อย
รักแห่งสยาม อีกเรื่องที่ทำให้ผมเห็นว่าความรักมันมีอีกมากมายหลายรูปแบบ ทั้งความรักหนุ่มสาว ความรักแรกรุ่น ความรักของเพศเดียวกัน ความรักของครอบครัว ความรักของเพื่อนฝูง และหัวใจของความรักทั้งหมด ก็คือการต้องการให้คนที่เรารักมีความสุข บางครั้งความรักคือกำลังใจ บางครั้งความรักคือแรงบันดาลใจ บางครั้งความรักคือเกราะป้องกันภัย ในขณะที่บางครั้งความรักอาจทำร้ายคนที่เรารัก รวมถึงตัวเราเองอย่างไม่รู้ตัว มันอยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับความรักของเราอย่างไร
รักแห่งสยามทำให้ผมเข้าใจจริงๆแล้วว่า ไม่มีใครรวมทั้งผม ไม่มีให้ใจซักดวงด้วยที่จะอยู่คนเดียวโดยปราศจากความรักได้ แล้วถ้าเรารักเราก็ต้องมีความหวังใช่มั้ยครับ
แล้วผมล่ะยังควรจะยังหวังอยู่รึเปล่า
enjoy yohttp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mrpaul&month=11-2007&date=24&group=4&gblog=31ur day
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น